Header Ads

ผิวติดสเตียรอยด์กับเชื้อรา



(บอกไว้ก่อนว่าเขียนตามความเข้าใจจากการสอบถามหมอ และผู้ที่เรียนมาทางด้านจุลชีวะวิทยา
ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ บทความนี้ทำขึ้นมาเพื่อให้เป็นวิทยาทาน
เพื่อการดูแลตัวเองสำหรับคนที่ติดเชื้อรา)
ปัญหาใหญ่ของคนที่เพิ่งหยุดสเตียรอยด์ประมาณ 70% คือ ติดเชื้อยีสต์ กับเชื้อรา
ซึ่งจริง ๆ แล้ว 2 ตัวนี้ก็คือรานั่นแหละ แค่คนละสายพันธ์ ยีสต์คือเซลล์เดียว ราคือหลายเซลล์
หากไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ สามารถไปให้หมอขูดสะเก็ดตรวจได้ตาม รพ.แผนกผิวหนังได้เลยคับ
คำถามแรก มันติดได้ไง มันติดจากอะไร
คำตอบคือ มันมีอยู่ทุกที่ ในอากาศ ในห้องนอน หรือแม้แต่ในตัวเราเอง
ปกติแล้ว ผิวหนังคนเราจะมีเชื้อราเจ้าถิ่น ควบคู่กับแบคทีเรียที่ดี ที่มันจะคอยต้านกันอยู่
และจะคอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแปลกปลอมเข้ามาในผิว
แบคทีเรียที่ดีก็จะคุมไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตไปจนเกินไป 
และถ้าผิวปกติ ราจะไม่ก่อปัญหาใด ๆ ให้กับผิว
คนปกติที่ร่างกายเข็งแรง เวลาเหงื่อออก จะหลั่งสารตัวหนึ่งที่แรกว่า แลคติก 
เพื่อยั้บยั้งการเจริญเติบโตของรา
เพราะฉะนั้น เวลาร่างกายเราภูมิตก หรือร่างกายอ่อนแอ สารตัวนี้จะลดลง แบคทีเรียที่ดีก็ลดลง บางคนถึงได้มีผื่นขึ้นเวลาป่วยไข้ หรือเวลามีประจำเดือน
คำถามต่อมาคือ ทำไมเราถึงภูมิตก
1.  นอนดึก
2. ไม่ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ หรือทานไม่บ่อยเพียงพอ ทานไม่หลากหลาย ไม่ครบ 5 สี
3. ชอบทานพวกของทอด ของมัน ขนมปัง ของหวาน 
4. ดื่มเหล้า แอลกอฮอลล์ต่าง ๆ เป็นประจำ ร์ตี้หนักบ่อย ๆ
5. ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า หรือดื่มน้ำเปล่าน้อยเกินกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ดื่มแต่น้ำหวาน หรือชา กาแฟ
6. เครียดเกินไป ความเครียดมักจะทำให้ระบบร่างกายเสียสมดุล ส่งผลถึงผิวได้ด้วยเหมือนกันในบางคน
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ อาหารไม่มีประโยชน์ที่เราทานเข้าไป ส่งผลให้ผิวเราอ่อนแอ
และก่อให้เกิดต่อมไขมันทำงานหนักผิดปกติ
ถ้าสังเกตุดี ๆ เชื้อรามักจะชอบขึ้นตามที่มีต่อมไขมันเยอะ ๆ เช่นทีโซนของหน้า หน้าผาก จมูก ปาก คาง หน้าอก แผ่นหลัง และบนหนังศรีษะที่มักจะชึ้นเป็นที่แรก ๆ ของร่างกายแต่เราไม่ค่อยใส่ใจ
จนมันลามลงหน้า คนที่ชอบสระผมตอนกลางคืน แล้วหัวเปียก ๆ นอน
มัจะเกิดเชื้อราได้ง่ายที่สุด เพราะมีครบทั้งความชื้น อากาศ อาหาร
และที่สำคัญ มันไม่ค่อยโดนแสงแดด เพราะผมบัง
เชื้อราจะไปกินน้ำมันบนผิวหนัง
มีการสันนิฐานกันว่า คนที่ติดเชื้อราได้ง่าย เวลาอ่อนแอมักจะหลั่งน้ำมันชนิดที่ราชอบ
ทำให้บางคนเป็น และบางคนไม่เป็น แม้การกินอยู่เหมือนกันทุกอย่าง
เมื่ออาหารพร้อม อากาศพร้อม รามันจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว
อุณหภูมิที่ราจะเจริญเติบโตได้ดีคือ 25-37 องศา และเจริญเติบโตเต็มที่โดยใช้เวลาแค่ 6-9 ชม.
(จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเช้า ๆ ไม่เป็นไร แต่พอตกเย็น กลับมาผื่นขึ้นเต็ม)
ซึ่งนั่นก็คือหมายความว่า ร่างกายเราเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของรา
พอมันเริ่มขยายตัว ผิวหนังเราจะเริ่มอักเสบ แดง คัน บางคนเป็นวงแดง ๆ
บางคนเป็นวงขาวๆ ลอกเป็นขุย หรือที่เรียกว่ากลากเกลื้อน
ลำดับต่อมาคือ หลังจากเป็นเชื้อราแล้วควรรักษาให้ถูกจุด
แต่ที่เห็นส่วนใหญ่คือรักษาที่ปลายเหตุ นั่นคือการทาสเตียรอยด์
การทาสเตียรอยด์จะทำให้ผิวหนังที่มันอักเสบ สงบลง ผื่นยุบ
แต่ปัญหาคือ รายังไม่ตาย มันก็ยังอยู่สบายดีบนหน้าเรา
แต่พอหยุดทา ผิวหนังก็อักเสบอีก ก็ทาอีก
ข้อดีของสเตียรอยด์คือมันลดอาการอักเสบได้แบบเฉียบพลัน
แต่ข้อเสียคือมันกดการแบ่งเซลล์ผิว
โดยปกติคนเราจะแบ่งเซลล์ผิวทุก 3-4 อาทิตย์ เพื่อให้ผิวไม่บาง และเพื่อให้ผิวดูสดใสอยู่เสมอ แต่ถ้ามันไม่มีการแบ่งตัว ผิวจะเริ่มบาง
พอบางมาก ๆ สเตียรอยด์เดิมที่ใช้ก็จะกดไม่อยู่
ก็ต้องเปลี่ยนตัวยาให้แรงขึ้น ทำให้ผิวยิ่งเสียมากขึ้น
พอหยุด ก็จะเกิดการอักเสบ จะมีทั้งผื่นสเตียรอยด์ ติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราปน ๆ กันไป
พอเข้าใจละเนอะ เอาคร่า ๆ ก็พอ
คราวนี้จะมาพูดถึงดูแลตัวเองเบื้องต้นดีกว่า
วันนี้จะมาพูด 2 วิธีคือ วิธีธรรมชาติ กับวิธีใช้ยา
เรามาดูวิธีธรรมชาติกัน
1. น้ำทะเล ที่เมืองนอกมีการวิจัยออกมาว่า น้ำทะเลสามารถลดการอักเสบของผิวได้
มีหลักฐานที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือในการใช้น้ำทะเลบำบัดผิวที่อักเสบ
ในกรณีของผิวอักเสบร้ายแรง
น้ำทะเลช่วยให้ผลในการรักษาอาการคันที่ลดลดอย่างมีนัยสำคัญ
ในกรณีการรักษาผิวอักเสบที่ระคายเคืองด้วยการ
ประคบด้วยน้ำทะเลจากมหาสมุทรแปซิฟิก ช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL)
และเพิ่มความสามารถในการเก็บกักน้ำ (capacitance)
เมื่อเทียบกับใช้น้ำที่ได้รับการขจัดอิออนออกไป
เมื่อประคบไว้ 20 นาทีต่อครั้ง หลาย ๆ ครั้งเป็นเวลาสองสัปดาห์ TEWL
ใช้วัดการหยุดยั้งการสูญเสียน้ำ
และ capacitance ใช้วัดปริมาณน้ำที่ชั้นบนสุดของหนังกำพร้า
ผลการศึกษานี้จึงให้หลักฐานที่แสดงถึงความสามารถของน้ำทะเล
ในการยับยั้งการสูญเสียน้ำจากผิวหนัง และยับยั้งความแห้งที่ชั้นบนของหนังกำพร้า
ในกรณีของผิวอักเสบที่ระคายเคือง
และยังพบว่าน้ำทะเลมีประโยชน์ต่อการรักษาโรคสะเก็ดเงิน
ในการศึกษาแบบมีกลุ่มควบคุมโดยไม่ให้ผู้ป่วยที่สุ่มมาทราบว่าตนเองได้ยาชนิดใด
โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำจากทะเลเดดซีที่มีแร่ธาตุสูงที่ 358 C เป็นเวลา 20 นาที
เป็นเวลาสามสัปดาห์ เมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
ปรากฎว่าน้ำจากทะเลเดดซีช่วยลดบริเวณที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงิน
และคะแนนความรุนแรงของโรค (PASI) ลดลงทันทีที่ได้รับการรักษา
โดยผลการรักษายังคงอยู่เมื่อหยุดรักษาแล้วหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามไม่มีความแตกต่างของคะแนน PASI
ในกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยน้ำจากทะเลเดดซีและกลุ่มที่ได้รับน้ำทะเลทั่วไป

 
การศึกษานี้สนับสนุนผลของการใช้น้ำทะเลเพื่อการบำบัด
และแสดงว่าองค์ประกอบที่ช่วยกักเก็บน้ำในน้ำทะเล
มากกว่าจะเป็นลักษณะของปะจุในน้ำ ที่เป็นตัวช่วยรักษา
ขอบคุณแฟนเพจด้วยครับที่ช่วยแปล

อ้างอิงจาก https://aucops.files.wordpress.com/2013/04/handbook-of-cosmetic-science-and-technology-third-edition.pdf
นอกจากมันจะลดอักเสบได้ มันยังสามารถฆ่าราได้
มีการสันนิฐานว่า เพราะน้ำในทะเลนั้นข้มข้นมาก ๆ เวลาที่แช่น้ำทะเล
จะเกิดการถ่ายเทน้ำระหว่างผิว ทำให้น้ำในราถูกดึงออก ทำให้มันตาย
จริงเท็จแค่ไหน ไม่แน่ใจนะคับ แต่ลองมาแล้ว เห็นผลสุด ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกกันเลยทีเดียว
ช่วงแรกอาจจะต้องไปบ่อยหน่อย เพราะผิวยังไม่แข็งแรง แม้ของเก่าตายไป
ของใหม่ก็ยังขึ้นมาเรื่อย ๆ คือไปอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง และไปตักน้ำทะเลกลับมาล้างหน้าด้วย
พอเริ่มดีขึ้น ก็ลดเหลือไปแช่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง อาทิตย์ละครั้ง 2 อาทิตย์ครั้ง จนไม่ต้องไป
แค่ล้างหน้าด้วยน้ำทะเลก็พอ
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่อยู่ใกล้ทะเล และต้องเป็นทะเลที่สะอาดด้วย
หาดที่มีโรงงาน หรือขยะเยอะ ๆ ไม่แนะนำนะ อาจได้โรคกลับมาเพิ่ม
และไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้น้ำทะเลด้วย ซึ่งไม่ค่อยมี แต่ก็มี
อันนี้รูปฉินเอง เป็นการใช้น้ำทะเลบำบัดเป็นเวลา 6 เดือน ดูประวัติเพิ่มเติมได้ที่ http://chinachinychin.blogspot.com/2015/10/sebderm-steroid-addiction_6.html



ส่วนคนที่ถามว่า ใช้เกลือละลายน้ำได้ไหม คำตอบคือได้ แต่อาจได้ผลดีไม่เท่าน้ำทะเล
อาจเพราะน้ำทะเลมีพวกแพลงตอน สาหร่ายทะเล และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผิว
แต่พอเอาไปตากแดดจนเหลือแต่เกลือ คุณค่าบางอย่างอาจจะหายไป
แต่ราก็ไม่ชอบเกลืออยู่ดี ดังนั้นก็ใช้ได้
วิธีคือ เอาเกลือทะเล(เกลือที่ทำกับข้าวนิแหละ) ที่ไม่ผสม ไอโอดีน ในห้างจะมีขาย
เอามาละลายน้ำ โดยอาจจะใช้เกลือ 3 ช้อน น้ำดื่ม 10 ช้อน ผสมจนมันละลาย
แล้วใช้สำลีแผ่น ชุบน้ำเกลือ มาร์คหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วค่อยไปล้างหน้าออก
ส่วนถ้าเป็นที่หัว หรือที่ตัว ที่หลัง จะแนะนำให้ใช้เกลือถูกตรงบริเวณที่เป็นรา
มันจะทำให้ราอ่อนแอลง และเซลล์ผิวที่มีราเกาะอยู่ก็จะหลุดไปด้วยเวลาเกลือไปถูมันออก
ถือเป็นการสคลัปผิวเบา ๆ อย่าถูแรง
และไม่ค่อยแนะนำให้ใช้กับหน้า เพราะผิวหน้าบาง อาจเกิดการอักเสบจากคมของผลึกเกลือได้
วิธีนี้ก็ทำได้ทุกวัน จนกว่าราจะหายไป


อันนี้คือเชื้อราบนหลัง น้องเค้าไปหาหมอแล้วขูดสะเก็ดไปตรวจ
พบว่ามีเชื้อรา ตอนนี้กำลังทดลองใช้เกลืออยู่


2. กระเทียม เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าในตัวของกระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ
พวกแบคทีเรีย และเชื้อราชนิดต่าง ๆ  แม้เชื้อรานั้นจะดื้อยาแล้วก็ตาม
ดุข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/allium.html
วิธีคือปอกเปลือกกระเทียมออก จะใช้กระเทียมไทยเม็ดเล็ก ๆ ก็ได้ หรือกระเทียมจีนเม็ดใหญ่ๆ
ถ้ากระเทียมไทยจะออกฤทธิ์แรงกว่า แสบร้อนกว่า
กระเทียมจีนจะไม่ค่อยแสบเท่าไหร่ แต่ก็ออกฤทธิ์น้อยกว่า
หั่นเป็นแผ่น ๆ หลังล้างหน้า เอาไปถูตรงที่เป็นเชื้อรา ทิ้งไว้ 5 นาที  แล้วค่อยล้างออก
อย่าทิ้งนานกว่านั้น เพราะผิวอาจจะไหม้ได้ และไม่เหมาะสำหรับคนที่แพ้ง่าย
ถ้าจะเทสครั้งแรกให้เทส 1-2 นาทีก่อน และรอดูอาการ 3 วัน
หากมีอาการลอกออก แล้วผิวกลับมาเป็นปกติก็แสดงว่าใช้ได้
เพราะผิวที่ลอกออก คือราที่หลุดออกไปด้วย
ปล.วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่แพ้กระเทียม และอย่าทานานเกิน 5 นาที มีคนที่หน้าไหม้มาแล้ว

3. มะกรูด เนื่องจากมะกรูดมีฤทธิ์ต้านราได้พอ ๆ กับกระเทียม
คนสมัยก่อนมักจะเอามาถูตรงบริเวณที่เป็นเชื้อรา หรือเอามาสระผม
หรือบางคนก็เอาน้ำมะกรูดมาขัดเล็บที่มีเชื้อราก็ทำให้ราดีขึ้นได้
ส่วนตัวเอามาทำเป็นแชมพูไว้สระผม เพราะราที่หัวดื้อยาหมดแล้ว
วิธีทำก็ง่าย ๆ คือเอามะกรูดมาครึ่งโล หั่นเป็นแว่น ๆ ต้มกับน้ำครึ่งโลเหมือนกัน
ทิ้งไว้ให้เดือด แล้วปล่อยให้เดือดต่อไปอีกสัก 15 นาที แต่อย่าปล่อยให้น้ำระเหยหมดนะ
พอครบแล้วก็ปล่อยให้เย็น แล้วเอาไปปั่นพร้อมกับน้ำที่ต้มนั่นแหละ
กรอกใส่ขวด เอาไว้สระผม อาการคัน และรังแคจะดีขึ้น เพราะเชื้อรามันลดลง
สามารถสระได้ทุกวัน
หรือบางคนจะเอาไปถูตรงที่เป็นเชื้อราก็ได้
ส่วนคนที่จะเอาไปถูหน้าก็ต้องเทสก่อนนะว่าไม่แพ้ ไม่งั้นจะไหม้เหมือนกระเทียมได้
4. แสงแดด
เชื้อราจะกลัวแสงแดดมาก เพราะรังสียูวีในแดด จะทำให้ราอ่อนแอ และตายลง
มีการทดลองเอาคนที่ติดรา 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกมาตากแดดตอนเช้า ช่วง 7-8 โมง ทุกวัน ๆ ละ 1 ชม. เป็นเวลา 1 เดือน
กับอีกกลุ่มไม่ตากแดด
ผลออกมาคือกลุ่มที่ตากแดดทุกวันในช่วงเช้า ผิวดีขึ้น ราลดลง


วิธีต่อมาคือการใช้ยาเข้าช่วย ปกติแล้ววิธีนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์
หรือเภสัชเท่านั้น ไม่ควรซื้อมาใช้เอง
1. ไนโซรัลครีมตัวยา คีโตโคนาโซล
ใช้ทาหลังล้างหน้า ทาเป็นตัวแรก ก่อนทาครีมบำรุงต่อ



2. Sepdermex Cream 
คือ ยาทารักษาสิวผด ตัวยาออกฤทธิ์ คือ Selenium sulfide ช่วยลดผดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ เชื้อรา
วิธีใช้
ใช้ Sepdermex cream ทาก่อนล้างหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยการล้างหน้าตามปกติ ทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น




ก่อนใช้ควรเทสที่ท้องแขนก่อน 10 นาที เพราะบางคนก็แพ้ตัวยาพวกนี้


ตัวยาเหล่านี้ จะไปรบกวนการส่งอาหารให้กับรา ทำให้ราขาอาหารและตาย
แต่ปัญหาคือมักใช้ผิดวิธี คือใช้ยาว ใช้ตลอด ทำให้มันเกิดการดื้อยา
และการใช้พวกนี้นาน ๆ ก็ส่งผลให้ผิวเสียด้วย

ยาฆ่าเชื้อราพวกนี้ หากดีขึ้น ควรใช้ต่อเนื่องสัก 2 อาทิตย์ แล้วลดเหลือวันเว้นวันอีก 2 อาทิตย์ แล้วหยุด
ถ้าหน้าแห้งตึงมาก ๆ จุดนี้สามารถทาครีมบำรุงได้
พวกฟิสิโอ เอไอ 
อีเซร่า 
Atoplam
ฮาดะ ลาโบ
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น
หรือแม้แต่ Biotherm

ถ้าหยุดแล้วไม่นาน ผื่นเชื้อรากลับมาอีก ให้ทำซ้ำแบบเดิมอีก 1 ครั้ง
หากยังกลับมาอีก แสดงว่าผิวอ่อนแอมาก 
ไม่แนะนำให้ใช้ต่อ แนะนำให้ไปหาหมอดีกว่า
หมอวิวัฒน์ ก่อกิจก็ดีนะ มีคนแนะนำมา




ปัญหาคือ เราจะทำให้ยังไงไม่ให้รามันกลับมาอีก
เพราะหากผิวอ่อนแอ ร่างกายอ่อนแอ ราก็จะกลับมาอีก
ดังนั้น ระหว่างที่รามันหดหายไปจากร่างกาย
เราต้องหันกลับมาดูแลตัวเองแบบสุด ๆ
หลัก ๆ เลยคือ ต้องทานสมุนไพรที่ต้านราได้ นั่นคือ
กระเทียม กระเทียมนอกจากจะมีสารต้านจุลชีพพวกแบคทีเรียและเชื้อราแล้ว สารสกัดกระเทียมมีฤทธิ์ลดการออกซิเดชันของไขมัน และกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ superoxide dismutase  สาร diallyl sulfide มีฤทธิ์ต้านการเกิดออกซิเดชันโดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ได้แก่ superoxide dismutase, catalase และ glutathione peroxidase ในเนื้อเยื่อปอด และเพิ่มระดับ glutathione ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในร่างกายตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการสร้างเอนไซม์ที่ต้านการเกิด oxidative stress ได้แก่ heme oxygenase-1 (HO-1) และ ยับยั้ง CYP2E1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ ทานคู่กับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นก็ได้ เพราะกรดของน้ำมันมะพร้าวสามารถฆ่าเชื้อยีสต์บางชนิดในร่างกายได้
มีคนถามว่ากระเทียมอัดเม็ดได้ไหม คำตอบคือได้เหมือนกัน แต่อาจไม่ดีเท่ากระเทียมสด
งาดำ
ข่า
ใบมะกรูด
กระเพรา เป็นต้น
เวลาที่เราทานสมุนไพรพวกนี้ จะทำให้ผิวของเราต้านเชื้อราได้
ที่สำคัญคืองดขนมปัง เนย ชีส เพราะพวกนี้มีเชื้อยีสต์ และมันเกิดเชื้อราได้ง่าย
หากทานเข้าไปอาจจะไปเพิ่มปริมาณเชื้อราในร่างกาย
หรือไปเป็นอาหารให้รา
ของหวาน ของทอด การทานอาหารเหล่านี้มาก ๆ จะทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามาก
ซึ่งก็จะเป็นอาหารให้ราได้
ทานผัก ผลไม้ให้หลากหลาย เพราะผัก ผลไม้เหล่านี้จะช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรง
โดยต้องทานให้ครบ 5 สี และต้องเลือกหน่อย เพราะเดี๋ยวนี้ผัก ผลไม้จะมียาฆ่าแมลงเยอะ
หาผัก ผลไม้ตามฤดูกาล หรือผัก ผลไม้ออร์แกนิคก็ได้
ส่วนตัวจะชอบพวก แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง ตำลึง มะระ กระเทียม
ผักหวาน ยอดฟักทอง  ใบกระเพรา
ผลไม้ก็ แอปเปิ้ล สัปรด กล้วย ฝรั่ง มะระกอ ทานสลับ ๆ กันไป
ใครสามารถซื้อแบบออร์แกนนิคได้ก็จะดีมาก
ดื่มน้ำเปล่าให้มาก ๆ แบบไม่เย็น ให้ได้วันละ 2-3 ลิตร
เพราะจะทำให้ผิวไม่มัน และมีความชุ่มชื้นมาก ๆ
ทานพวกโปรไบโอติก หรือพวกแบคทีเรียที่ดี อย่างพวกยาคูลย์ บีทาเก้น
นมเปรี้ยวหรือโยเกริตที่มีแบคทีเรียที่ดีบ่อย ๆ ก็จะทำให้สมดุลของร่างกายดีขึ้น บคทีเรียที่ดีบางชนิด ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในร่างกาย
ต้องใช้วิธีทานเข้าไป หากทานก็ควรทานตลอด
เพราะมีรายงานว่า พอหยุดทาน 3 วัน มันก็ไม่เหลือในร่างกายแล้ว 

นอน 4 ทุ่มให้ได้ทุกวัน เพราะช่วงเวลาที่ผิวจะซ่อมตัวเองได้ดีที่สุดคือช่วง 4 ทุ่ม – ตี 4
เพราะจะเป็นเวลาที่ร่างกายหลั่งสาร เมลาโทนิน และโกรทฮอร์โมนออกมา
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99

หาต้นตอของรา เช่น ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ผ้าขนหนู หากมีก็ซื้อใหม่ หรือเอาไปตากแดดทุกวัน
เปิดห้องให้อากาศถ่ายเท ให้แดดส่องเข้ามาในห้อง
อย่าสระผมตอนกลางคืน หัวเปียก ๆ แล้วนอน 
อยู่ห่าง ๆ สัตว์เลี้ยงพวกหมา แมว เพราะพวกนี้มักมีเชื้อรา
มันจะทำให้ติดมาถึงเราได้
http://www.naewna.com/lady/61682
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000112294

อย่าตากแดดจัด ๆ หลัง 8 โมงเช้า เพราะมันแรงไปแล้ว
ถึงราจะไม่ชอบแดด แต่กว่ามันจะตาย เราคงเป็นมะเร็งผิวหนังกันพอดี
และความร้อนจากแดดและอากาศจะทำให้หน้าหน้ามันมาก 
อย่าลืมว่ามันเป็นอาหารของราได้
หากต้องออกไปกลางแจ้ง ควรใส่หมวก กางร่ม 

อย่าใส่หน้ากากตลอดเวลา

ใส่เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น 
นั่นเพราะว่าเวลาใส่มัน จะเกิดความอับชื้นที่ผิวใต้หน้ากากทันที
สังเกตุว่าเวลาเราหายใจออก ผิวจะอับ แต่จะดีขึ้นเมื่อเราหายใจเข้า
ราจะเจริญเติบโตได้ดีเพราะมันทั้งความอับชื้น และอ๊อกซิเจน 
  

หากระหว่างวันหน้ามัน คันหน้า สามารถล้างหน้าได้
จะใช้โฟมล้างหน้าสำหรับผิวบอบบาง ที่ไม่แพ้ หรือจะล้างน้ำเปล่าก็ได้
สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งหน้า ล้างน้ำเปล่าก็เพียงพอ
ถ้าคันมาก ใช้น้ำดื่มเย็น ๆ ล้างก็จะช่วยได้มาก
แล้วทาครีมบำรุงที่เราไม่แพ้ แล้วทาแป้งเด็กทับก็จะทำให้ผิวสบายขึ้น
แต่หากว่าผิวดีขึ้นแล้ว ไม่แนะนำให้ล้างหน้าบ่อย 
ไม่จำเป็นต้องล้างระหว่างวันอีก 
อย่าลืมว่า การล้างหน้าแต่ละครั้ง มันจะทำให้ผิวยิ่งแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
เวลาผิวแห้งมาก ๆ ผื่นก็ขึ้นได้เหมือนกัน       

  

สุดท้ายคือ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับเรา 
เพื่อให้ผิวสามารถทำให้ผิวกลับมาแข็งแรงได้โดยไว
โดยท่านสามารถดูข้อมูลของผลิตภัณฑ์ได้ที่นี้ครับ เขียนไว้ให้แล้ว
http://chinachinychin.blogspot.com/2015/01/blog-post.html

หวังว่าบทความที่เขียนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านไม่มากก็น้อย
ถูก ผิด หรือตกหล่นประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
ปกติฉินจะเปิดเพจไว้สำหรับแชร์เรื่องราวผิวติดสเตียรอยด์และผิวเซ็บเดิร์มที่เพจ No Sebderm ไปเจอกันได้
https://www.facebook.com/No-Sebderm-463320630422857/


 ปล.ขอบคุณแฟเพจที่ให้ข้อมูล และรูปเพื่อเป็นวิทยาทานครับ
 ปล.2 รูปที่นำมาใช้ได้รับอนุญาติจากแฟนเพจแล้ว
หากมีใครนำไปใช้หากิน ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาติจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย




2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากนะคะ ได้ประโยชน์มากๆเลย เขียนได้ครบทั้งการดูแล และสิ่งที่ใช้ ขอให้หน้าใสไปเรื่อยๆเลยนะคะ

    ตอบลบ
  2. Playtech Group - JTG Hub
    JTG 문경 출장마사지 Hub was established in 2012 and aims to 의정부 출장샵 revolutionize the online 전주 출장마사지 casino industry. We offer high-quality slots and table games Apr 18, 2016 · Uploaded 동두천 출장안마 by JTG Hub 양주 출장안마

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.